มติปลด ใบกัญชง และใบกัญชา พ้นจากบัญชียาเสพติดให้โทษ เพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และสุขภาพได้ แต่ต้องมาจากต้นที่ปลูกโดยได้รับอนุญาตและไม่รวมถึงช่อดอก ที่ยังไม่ได้ปลดล็อค 

นายแพทย์ เกียรติภูมิ วงศรจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานแถลงวันนี้ อ้างอิงถึงมาตรการขับเคลื่อนนโยบายกัญชาทางการแพทย์ เพื่อส่งเสริมกัญชง และกัญชา เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่  

กระทั่งคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ มีมติเมื่อวานนี้ ปลดส่วนกิ่ง ก้าน ลำต้น และราก ทั้งของกัญชง และกัญชา ออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษ เพื่อให้ประชาชนนำส่วนดังกล่าว ไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ตามวิถีภูมิปํญญาด้านสุขภาพของไทยได้ และย้ำว่า ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 ที่ปรับปรุงใหม่นี้ ยังคงสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ ขั้นตอนต่อไป คณะกรรมการอาหารและยา จะเสนอร่างฯให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้

***สาระสำคัญของร่าง ประกาศฯ ฉบับนี้ กำหนดให้ส่วนต่าง ๆ ของพืชกัญชาและกัญชง เฉพาะที่ได้รับอนุญาตให้ปลูก ผลิต หรือสกัดในประเทศไทย ไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษ ในประเภท 5 คือ 1. เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน และราก (2) ใบ ซึ่งไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย (3) สารสกัดที่มีสารแคนนาบิไดออล (CBD) เป็นส่วนประกอบ และมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (THC) ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก (4) เมล็ดกัญชง น้ำมันจากเมล็ดกัญชง หรือสารสกัดจากเมล็ดกัญชง 

นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ระบุว่า หลังจากออกประกาศฯแล้ว จะนำแต่ละส่วนที่พ้นจากยาเสพติดไปใช้ประโยชน์ ทางการแพทย์เพื่อ ดูแลสุขภาพตนเอง เช่น ใบ ราก ก้าน ใช้ในตำรับยาแผนไทย ผลิตภัณฑ์สมุนไพร, เปลือก แกนลำต้น เส้นใยใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ, สารสกัดใช้ในอุตสาหกรรมยา ผลิตภัณฑ์ สมุนไพร และเครื่องสำอาง, เมล็ด หรือน้ำมันจากเมล็ดกัญชง ใช้ในอาหารและเครื่องสำอา  อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะครอบครองและใช้ได้อย่างถูกต้อง จะต้องเป็นผลผลิตที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย และยังไม่อนุญาตให้นำไปใช้ในทางสันทนาการ

โดยสามารถตรวจสอบผู้ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ ขององค์การอาหารและยา

สนใจบทความอื่นๆ ต่อไป สามารถเข้าไปอ่านบทความอื่นๆ ที่ คลิ๊ก

For further information or interested to OEM Cosmetics, please visit: www.greentechbiolab.com

ที่มา : https://ch3thailandnews.bectero.com

องค์การอาหารและยา

สอบถามเพิ่มเติม